เมนู

ภ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้แล สิ่งใดไม่เที่ยง
สิ่งนั้นเป็นทุกข์ เมื่อสิ่งนั้นมีอยู่ เพราะถือมั่นสิ่งนั้น จึงเกิดทิฏฐิขึ้น
อย่างนี้ว่า อัตตาที่ไม่มีทั้งทุกข์ทั้งสุข หลังจากตายไปแล้ว ย่อมไม่สลายไป
เวทนา ฯลฯ สัญญา ฯลฯ สังขาร ฯลฯ วิญญาณ ฯลฯ เที่ยงหรือไม่เที่ยง ?
ภิ. ไม่เที่ยงพระเจ้าข้า.
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
เพราะไม่ถือมั่นสิ่งนั้น จะพึงเกิดทิฏฐิขึ้นอย่างนี้ว่า อัตตาที่ไม่มีทั้งทุกข์-
ทั้งสุข หลังจากตายไปแล้ว ย่อมไม่สลายไป ใช่ไหม ?
ภิ. ไม่พึงเกิดทิฏฐิขึ้นอย่างนั้นเลย พระเจ้าข้า.
ภ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้แล สิ่งใดไม่เที่ยง
สิ่งนั้นเป็นทุกข์ เมื่อสิ่งนั้นมีอยู่ เพราะถือมั่นสิ่งนั้น จึงเกิดทิฏฐิขึ้น
อย่างนี้ว่า อัตตาที่ไม่มีทั้งทุกข์ทั้งสุข หลังจากตายไปแล้ว ย่อมไม่สลายไป.
จบ ทิฏฐิสังยุตติยเปยยาลที่ 3

อรรถกถาตติยเปยยาลที่ 3



เปยยาลที่ 3

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ด้วยสูตรเหล่านั้นนั่นแล
(รวม) 26 สูตร ด้วยอำนาจอนิจจัง ทุกขัง.
จบ อรรถกถาตติยเปยยาลที่ 3

จตุตถเปยยาลที่ 4

1

1. นวาตสูตร



ว่าด้วยเหตุเกิด มิจฉาทิฏฐิ



[463] กรุงสาวัตถี. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย เมื่ออะไรมีอยู่ เพราะถือมั่นอะไร เพราะยึดมั่นอะไร
จึงเกิดทิฏฐิขึ้นอย่างนี้ว่า ลมย่อมไม่พัด แม่น้ำย่อมไม่ไหล สตรีมีครรภ์
ย่อมไม่คลอด พระจันทร์และพระอาทิตย์ย่อมไม่ขึ้น หรือไม่ตก
เป็นของตั้งอยู่มั่นคงดุจเสาระเนียด ?
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมของ
ข้าพระองค์ทั้งหลาย มีพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นรากฐาน ฯลฯ.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อรูปมีอยู่
เพราะถือมั่นรูป เพราะยึดมั่นรูป จึงเกิดทิฏฐิขึ้นอย่างนี้ว่า ลมย่อมไม่พัด
ฯลฯ เป็นของตั้งอยู่มั่นคงดุจเสาระเนียด เมื่อเวทนามีอยู่ ฯลฯ เมื่อ
สัญญามีอยู่ ฯลฯ เมื่อสังขารมีอยู่ ฯลฯ เมื่อวิญญาณมีอยู่ เพราะถือมั่น
วิญญาณ เพราะยึดมั่นวิญญาณ จึงเกิดทิฏฐิขึ้นอย่างนี้ว่า ลมย่อมไม่พัด
ฯลฯ เป็นของตั้งอยู่มั่นคงดุจเสาระเนียด.
[464] ภ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะสำคัญความ
ข้อนั้นเป็นไฉน รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง ?
ภิ. ไม่เที่ยงพระเจ้าข้า.
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ หรือเป็นสุขเล่า ?
1 อรรถกถาเปยยาลที่ 4 แก้รวมไว้ท้ายเปยยาลที่ 4